09 กรกฎาคม 2550

Blue Sky...Blue Day



แหงนมองดูฟ้าครามอร่ามใส
พลอยให้ใจดวงน้อยถวิลหา
ขอสวรรค์นั้นโปรดจงเมตตา
บันดาลพาความสุขล้นท่วมท้นใจ
แต่แหงนมองอีกคราเห็นฟ้าหม่น
พาอุราเวียนวนให้เศร้าหมอง
ความสุขสมที่เคยพบและครอบครอง
ถูกจับจองด้วยทุกข์สุมฤทัย
เมื่อแหงนมองอีกคำรบพบเม็ดฝน
ที่ปรายโปรยร่วงหล่นจากฟากฟ้า
หยาดน้ำฝนปะปนหยดน้ำตา
ต่างไหลรินเป็นธาราสายเดียวกัน
แล้วแหงนมองนภาอีกสักหน
วอนสวรรค์บันดลจิตคลายเศร้าหมอง
แลสายรุ้งรายล้อมริบเรืองรอง
ร้อยประคองดวงจิตคิดปรีดา

06 กรกฎาคม 2550

นิยามรัก..ในแบบฉบับของน้ำหวาน


รักคือ...รัก



รักคือ...หลง



รักคือ...กามารมณ์



สรุปว่ารักคือ...อะไร




ถ้าเรารักใครเพราะเขาสมบูรณ์แบบ...


มันคือรักจากการนับ 100 ถึง 0


ในวันนึงเราหาจุดบกพร่องของเขาเจอ...


แต่ถ้าเรารักใคร..เพื่อไปเติมเต็มให้เขาสมบูรณ์แบบ...


มันคือการรักจากการนับ 0 ไปถึง Infinity


ในวันที่เรารู้สึกเฉยกับจุดบกพร่องที่เราเห็นตั้งแต่แรก...



...ขอให้โชคดีกับความรัก...


04 กรกฎาคม 2550

นรก..สวรรค์ คุณจะเลือกอะไร?

"อย่าทำอย่างนี้กับพ่อแม่สิลูก..ตายไปเดี๋ยวก็ตกนรกหรอก!!"
เป็นคำที่ฉันได้ยินจากพ่อแม่มาตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปี (ไม่ได้แอบโกงอายุนะ) ในเวลาที่แอบดื้อ อิอิ จนเคยนึกสงสัยขึ้นมาว่าแล้วไอ้คำว่า นรก สวรรค์ ที่ผู้ใหญ่ชอบหยิบยกมาสอนลูกสอนหลานนี่มันมีจริงไหม แล้วถ้ามีจริง..มันจะอยู่ตรงตำแหน่งไหนบนแผนที่โลก หรืออาจจะเป็นแผนที่จักรวาล แผนที่กาแล็คซี่

จนมาวันหนึ่งที่ฉันได้มีโอกาสปฏิบัติธรรม และศึกษาธรรมโดยการชักนำของบิดามารดาอีกนั่นล่ะ (เห็นหน้าตาอย่างนี้ก็เข้าวัดเข้าวาเป็นเหมือนกันนะคะ) จึงทำให้ฉันได้เข้าใจในปริศนาธรรมของคำนี้ได้ถ่องแท้มากขึ้น

ถ้าพูดถึงคำว่า สวรรรค์ แล้วนั้น ลองไปถามเด็กอนุบาล หรือจะข้ามรุ่นไปป็นพี่ป้าน้าอาก็ได้ หลายคนอาจจะจินตนาการไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่บนท้องฟ้า พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็จะเห็นเทวดาที่แอบไปขโมยชุดครุยของมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่ออันดับหนึ่งของประเทศมาสวมใส่เป็นเครื่องแบบประจำกาย พร้อมกับสวมชฎาอย่างงดงาม ลอยไปลอยมาเคียงคู่กับนางฟ้าแสนสวยในชุดแสนเซ็กซี่เปิดหน้าท้องเล็กน้อยแต่พองาม

และในขณะเดียวกันถ้าให้จินตนาการไปถึงคำว่า นรก เชื่อแน่ว่าต้องมีหลายคนที่คิดอย่างข้างบนจินตนาการต่อไปว่า เป็นสถานที่ที่มีกะทะทองแดงใบยักษ์ ที่มีน้ำร้อนเดือดปุดๆ อยู่ภายใน แวดล้อมไปด้วยทัศนียภาพอันงดงามด้วยต้นงิ้วที่รายรอบ โดยมีมนุษย์ผู้ทำผิดศีลข้อสามยามใช้ชีวิตอยู่บนโลกปีนป่าย พร้อมกับมีเหล้กแหลมคอยจิ้มก้นอยู่ตลอดเวลา และมีผู้ดูแลสถานที่คือ คุณพยายาล เอ๊ย คุณยมบาล ที่จะสวมหมวกที่มีเขาทั้งสองข้าง ลักษณะคล้ายเขาของสัตว์บนโลกมนุษย์บางประเภทนั่นเอง

ยอมรับว่าตอนฉันยังเด็กๆ ก็เคยคิดอย่างนี้ล่ะ 555 แถมยังมีการเลือกด้วยนะว่าตายไปอยากไปอยู่บนสวรรค์ อยากเกิดเป็นนางฟ้า แต่งตัวสวยๆ ลอยได้ไปมา วันๆ ไม่ต้องทำมาหากินอะไร มีฟามสุขที่สุด

แต่หารู้ไม่ว่าการที่คนเราจะไปอยู่นรก หรือสวรรค์นั้น ไม่จำเป็นต้องตายก่อนก็ได้ แต่สามารถเลือกจองที่จะไปอยู่ได้ก่อนทั้งที่ยังเป็นๆ นี่ล่ะ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกจองไปที่ไหนเท่านั้นเอง อ้าว พูดอย่างนี้ ก็แสดงว่านรกสวรรค์มีจริงน่ะสิ ตอบได้เลยว่า มีจริง แล้วถามต่อว่าหน้าตามันเป็นยังไง อยากรู้ใช่ไหม..

หน้าตามันน่ะเหรอ ก็ดูจากหน้าตาของเราน่ะล่ะ ทุกวันที่เราดำเนินชีวิตประจำวันในแต่ละวัน ทุกอารมณ์ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในทุกเวลาทุกขณะจิต มันบ่งบอกออกมาได้ถึงคำว่านรก สววรค์อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

วันนี้ทะเลาะกับแฟน ไม่เอาดีกว่า ทะเลาะกับเพื่อนละกัน ทำให้อารมณ์ไม่ดีทั้งวัน จะทำอะไรก็หงุดหงิดงุ่นง่านเหมือนหมูบ้า หน้ามุ่ยยิ่งกว่าหมามุ่ย (แล้วมันเกี่ยวอะไรกันหว่า) จนต้องแสดงออกมาด้วยการกระทำที่ดูไม่งดงามเสียนี่กระไร อ๊ะๆ แต่อาการที่บอกมานี่มะช่ายตัวเราเลยน๊า อิอิ

นั่นล่ะ..สิ่งที่เรากำลังเป็น กำลังคิด กำลังทำ มันเรียกว่า นรก

แต่ถ้าวันไหนเราอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส อาจจะเพราะแฟนมาบอกรัก หรือเจ้านายขึ้นเงินเดือน ทำให้มีความสุขตลอดวัน ใครมาทำอะไรก็ไม่โกรธ (แล้วถ้ามาแย่งแฟนเราล่ะ อืม น่าคิดๆ) มีจิตเมตตา ใจเย็นดั่งสายน้ำ .. สิ่งที่เราเป็นมันคือนิยามของคำว่า สวรรค์ นั่นเอง

เคยได้ยินไหมล่ะ ที่มีคำกล่าวไว้ว่า สวรรค์อยู่ในอก..นรกอยู่ในใจ ไม่ว่าจะคิดดีหรือคิดชั่ว มันก็คือสิ่งที่เราเลือกที่จะเป็น

เมื่อเลือกได้อย่างนี้แล้ว เราจะเลือกอยู่สวรรค์ หรือนรกกันดีล่ะ?

กระจกเงา (The Mirror)

ฉันนั่งมองตัวเองในกระจกเงา
สิ่งที่ฉันเห็น..
ก็คือตัวฉันอีกคน
ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน
มีอวัยวะ..มีขา..มีแขนเหมือนกัน
เหมือนกันเกือบจะทุกอย่าง
แต่...เมื่อมองดูอีกที..มันมีความแตกต่างซ่อนอยู่
แขนขวาของตัวฉัน ..กลับเป็นแขนซ้ายของตัวฉันในกระจก
แขนซ้ายของตัวฉัน ..กลับเป็นแขนขวาของตัวฉันในกระจก
ตาซ้าย..เป็นตาขวา หูซ้าย..เป็นหูขวา ขาซ้าย..เป็นขาขวา
แม้กระทั่งหัวใจที่อยู่ข้างซ้าย..ยังย้ายไปอยู่ข้างขวา
ตัวฉันเองในกระจก..ยังไม่เหมือนกับตัวฉันที่ยืนอยู่ตรงนี้เลย
...แล้วจะไปหวังอะไรให้คนอื่นมาเหมือนเรา...
จริงไหม...เจ้ากระจกเงา

ทำความรู้จัก!?!




หลังจากนั่งคิดอยู่หลายร้อยตลบว่าจะเขียนประเดิมบทความแรกด้วยเรื่องอะไรดี ติ๊กต๊อกๆ คิดไปคิดมาอยู่อย่างนั้นจนในที่สุด...ก็ยังคิดไม่ออก เฮ้อ ให้เตรียมอ่านหนังสือสอบเอ็นสะท้านยังจะง่ายกว่าซะอีก เว่อร์ไปมั๊ยเนี่ยะเรา ก็เลยขอจบลงด้วยบทความสิ้นคิด หุหุ เรามาทำความรู้จักกันดีกว่าค่ะเพื่อนๆ

จะเริ่มว่าไงดีล่ะ เฮ้อ เมื่อนึกถึงขั้นตอนแรกเริ่มของการทำความรู้จักกับผู้อื่นแล้ว ทำให้หวนนึกย้อนถึงวันเก่าๆ (แต่ตอนนี้ยังไม่แก่นะ แค่เริ่มงอมๆ เท่านั้นเอง) ที่เวลาเราต้องไปเข้าสังคมใหม่ๆ ต้องทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ เช่น วันเปิดเรียนวันแรก หรือ วันเข้าไปทำงานวันแรก หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะต้องทำความรู้จักกับคนอื่นเป็นครั้งแรก หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า make friend เพื่อสานสัมพันธ์ต่อระยะยาวในอนาคต แต่จะสานสัมพันธ์แบบไหนอันนี้ข้ามไปละกันนะ อิอิ
เข้าเรื่องๆ โอ้โห ไม่อยากจะบอกเลยว่า มันเป็นกระบวนการขั้นตอนที่น่าเบื่อมากเลยล่ะ ทั้งที่ในใจก็อยากจะรู้จักกับคนอื่นๆ ล่ะนะ แต่ว่าเป็นโรคเบื่อกระบวนการทำความรู้จักในขั้นแรกยังไงก็ไม่รู้ ถ้าเป็นไปได้นะ อยากให้มีเครื่องมือสร้างความคุ้นเคย หรือเครื่องมือแสดงตัวตนเกิดขึ้นบนโลก โดยที่มนุษย์ทุกคนที่เจอหน้ากันเป็นหนแรกสามารถทักทายพูดคุยกันได้เลย โดยไม่ต้องมานั่งถามชื่อ ซักประวัติ หรือไม่ต้องกลัวหัวล้านเพราะมัวมานั่งอึดอัดคิดมากอยู่ว่า เฮ้อ ตรูจะชวนคุยอะไรกะมันดีฟระ
แต่จริงๆ แล้วที่สำคัญเรื่องของเรื่องไม่ใช่อะไรหรอก ด้วยความที่เราเองมีนิสัยเสียอย่างนึงที่มันแม่ให้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด คือโรคขี้ลืมน่ะสิ โอ้โห ไม่อยากจะบอกว่าปัจจัยตัวนี้ล่ะที่เป็นปัจจัยหลักของปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งปวงของน้ำหวาน ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก ขนาดคนที่เคยรู้จักกันแล้ว บางทีเจอหน้ากันคุยกันไปล้านแปดนาที จนคุยเสร็จแล้วยังนึกชื่อคู่สนทนาไม่ออก ไอ้ครั้นจะถามก็ไม่ได้สิ เดี๋ยวเขาจะรู้สึกไม่ดี จริงๆ คือกลัวเสียฟอร์ม 555 แล้วจะไปหวังอะไรกับคนที่เพิ่งทำความรู้จักกันสำหรับน้ำหวาน อิอิ
เอาน่า ไม่เป็นไร งั้นสมมุติว่าตอนนี้เรารู้จักคุ้นเคยกันแล้วก็ได้นะ สำหรับผู้ใดที่รู้จักอยู่แล้วคงไม่ต้องพูดกันมาก พวกนี้หลบไปก่อน แหวกแถวให้ผู้มาใหม่เข้ามาตีตั๋วนั่งแถวหน้าก่อนเลย อย่างที่บอกไปแล้วว่าน้ำหวานแก้วนี้ผสมโซดา แอบซ่าอยู่ไม่หยอก ฉะนั้นใครที่เจอเราครั้งแรก ไม่น้อยกว่า 95.59% (เลขสวยนะ ลองเอาแทงหวยงวดนี้สิ แม่หมอน้ำหวานฟันธง..หุหุ) ต้องคิดว่าเราเรียบร้อยดุจผ้าพับไว้แน่ๆ ดูกิริยามารยาทช่างงดงามสมกับหน้าตาเสียนี่กระไร
แต่หยุด..โปรดหยุดความคิดของคุณไว้ตรงนั้นก่อน อย่าเพิ่งจินตนาการไปให้มากกว่านี้ เคยได้ยินไหมล่ะที่มีคำกล่าวว่า สิ่งที่คุณเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณคิด คำกล่าวนี้อาจใช้ได้กับน้ำหวานก็เป็นได้ อ๊ะๆ แต่อย่างเพิ่งคิดในแง่ลบสิ ส่วนจะเป็นในแง่ไหนเหรอ รอติดตามตอนต่อไป รับรองว่าจะเปรี้ยวซ่าจนติดใจจนต้องขอชิมแก้วต่อไปแน่นอนค่า...